หลังจากที่คณะกรรมการมรดกโลก 21 เสียง พิจารณารับรองการเสนอชื่อวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช เข้าสู่บัญชีเบื้องต้นสู่การเป็นมรดกโลกตามที่ประเทศไทยเสนอ ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยที่ 37 กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ทำให้เรื่องราวของพระบรมธาตุนครกลับมาเป็นที่สนใจของคนไทย เอ๊ะ!! ว่าทำไม พุทธศาสนสถานแห่งนี้ ถึงมีความสำคัญ จนถึงขั้นเตรียมการเป็นมรดกโลก ไม่เพียงเท่านั้น กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ยังได้นำคณะทูตานุทูตและคู่สมรสจาก 22 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย กัมพูชา แคนาดา โคลอมเบีย สาธารณรัฐเช็ก เดนมาร์ก อิหร่าน ญี่ปุ่น เกาหลี มอลตา เม็กซิโก มองโกเลีย โมร็อกโก เนเธอร์แลนด์ โรมาเนีย สโลวัก เวียดนาม ฮังการี เคนยา เนปาล ปากีสถาน และศรีลังกา มาศึกษาแหล่งวัฒนธรรม ภายในจังหวัดนครศรีธรรมราช ตามโครงการวัฒนธรรมสัญจรแหล่งมรดกโลก เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในการที่ประเทศไทยกำลังเสนอวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร หรือพระบรมธาตุนครศรี ธรรมราช เป็นมรดกโลกด้วย สถานที่แห่งแรกที่เราได้มาชม คือ พิพิธภัณฑ์เมืองนครศรีธรรมราช ที่แห่งนี้มีการจำลองประวัติเมืองนครศรี ธรรมราชตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีการจำลองแผนผังและแบบจำลองพระบรมธาตุนครศรีธรรมราชไว้อย่างสวยงาม ทันสมัย รวมถึงการเก็บรวบรวมประวัติการเสด็จพระราชดำเนินของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมวงศานุวงศ์ ยังจังหวัดนครศรีธรรมราชไว้ด้วย ภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ยังได้มีเกร็ดความรู้ เทศกาลการห่มผ้าขึ้นพระธาตุ ที่สำคัญยังมีตำนานเล่าขานถึงเมืองตามพรลิงค์ หรือนครศรีธรรมราชเอาไว้อย่างน่าสนใจ “พระแม่เจ้าเหมชาลา พระทนทกุมาร เป็นพระราชธิดา และพระราชโอรสของพระเจ้าสีหราชแห่งเมืองทนธบุรี ประเทศอินเดีย ได้หนีสงครามมาพร้อมกับอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุเพื่อจะไปมอบให้กษัตริย์กรุงลังกา แต่เรือเจอพายุใหญ่พัดจนเรือแตก ทั้งสองพระองค์ลอยมาติดที่หาดทรายแก้ว (จังหวัดนครศรีธรรมราช) จึงต้องหาทางไปยังกรุงลังกา จนกระทั่งได้เสด็จไปถึงกรุงลังกา และได้ถวายพระบรมสารีริกธาตุให้พระเจ้ากฤติสิริเมฆวัน กษัตริย์กรุงลังกา บางตำนานชื่อ พระเจ้าทศคามมุนี ภายหลังสงครามแห่งเมืองทนธบุรีสงบลงจึงขอเสด็จกลับ กษัตริย์แห่งกรุงลังกา จึงพระราชทานพระบรมสารีริกธาตุบางส่วน เพื่ออัญเชิญมาประดิษฐานที่หาดทรายแก้ว โดยสร้างเจดีย์องค์เล็ก ๆ บรรจุไว้ ต่อมาในสมัยพระเจ้าศรีธรรมโศกราช พุทธศตวรรษที่ 18 เมื่อทรงทราบว่า หาดทรายแก้วมีเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ จึงให้เริ่มมีการขุดค้น จนพบ พระบรมสารีริกธาตุบรรจุในสำเภาทองคำกับตุ่มบรรจุทองคำ 4 ใบ พระเจ้าศรีธรรมโศกราชจึงมีพระราชศรัทธาสร้างองค์พระเจดีย์ใหญ่ครอบเจดีย์ของเดิมไว้ พร้อมกับสร้างบ้านเมืองในบริเวณนี้ จนปรากฏร่องรอยประวัติศาสตร์ความรุ่งเรืองมาถึงปัจจุบัน เราใช้เวลาที่พิพิธภัณฑ์เมืองนครศรีธรรมราชอยู่ประมาณ 2 ชั่วโมง ก็ได้ออกเดินทางต่อไปยังแหล่งหัตถกรรมพื้นบ้านคีรีวง ไปชมวิถีชีวิต การประกอบอาชีพจากภูมิปัญญา ซึ่งที่นี่ ท่านทูตพากันชอปปิงกระบุง กระจาด ของชาวบ้าน หอบกันพะรุงพะรัง ที่สำคัญยังได้ชมวิถีทำสวนสะตอแบบสด ๆ เป็นมัด ๆ เพื่อนำออกจำหน่าย สู่ท้องตลาด จากนั้นคณะของเราก็ได้ไปพักผ่อนหย่อนใจ ที่น้ำตก บริเวณบ้านคีรีวง สูดโอโซนที่สะอาดที่สุด จนเป็นแหล่งบรรจุโอโซนกระป๋องจำหน่ายไปทั่วโลก หมดไปอีก 1 วัน กับการเดินทางมาชมวิถีวัฒนธรรมแห่งนครศรีธรรมราช เช้าวันใหม่ เราต้องเดินทางไปชมวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร และพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช เวลาไวเหมือนโกหก เมื่อพระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า เราก็ได้เดินทางมาถึงบริเวณหน้าวัดพระมหาธาตุวรวิหาร เห็นพระบรมธาตุนครศรีธรรมราชขาวเด่นเป็นสง่า ซึ่งอีกมุมหนึ่งมีนั่งร้าน แสดงให้เห็นว่า เริ่มมีการบูรณปฏิสังขรณ์ พระบรมธาตุฯ จากนั้น คณะทูตได้มาฟังบรรยายบริเวณวิหารหลวง ซึ่งภายในวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปประธานองค์ใหญ่ พุทธลักษณะงดงามยิ่งนัก ซึ่ง ม.ร.ว.จักรรถ จิตรพงศ์ อดีตปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นผู้บรรยายสรุปเกี่ยวกับวัดพระบรมธาตุให้ท่านทูตได้รับฟัง ภายในบริเวณวัดพระมหาธาตุวรวิหาร ประกอบด้วยสิ่งก่อสร้างมากมาย ไม่ว่าจะเป็น วิหารหลวง วิหารพระทรงม้า วิหารเขียน วิหารโพธิ์ลังกา วิหารพระกัจจายนะ วิหารพระเจ้าศรีธรรมโศกราช วิหารทับเกษตร วิหารพระระเบียง วิหารธรรมศาลา วิหารโพธิ์พระเดิม พระอุโบสถ พระพุทธบาทจำลอง ต้นพระศรีมหาโพธิ์ พิพิธภัณฑ์ของวัด ซึ่งการไปเที่ยวชมอย่างละเอียดคงต้องใช้เวลาเป็นวัน ๆ ชาวพุทธส่วนใหญ่จะไปกราบพระประธานในวิหารหลวง กราบพระบรมธาตุ ชมพิพิธภัณฑ์ เป็นหลัก หลังจากที่ได้มาสัมผัสกับความศรัทธาและความชาญฉลาดของคนยุคก่อนที่สร้างศาสนสถานไว้เป็นเครื่องเตือนใจให้คนรุ่นใหม่ได้เห็นความสำคัญของพระพุทธศาสนา และรู้ว่าสถานที่แห่งนี้เป็นศูนย์กลางของเมืองในอดีต เมื่อได้ชมความงดงามของนครศรีธรรมราชกันอย่างถ้วนทั่วพอประมาณแล้ว ก็ได้มีโอกาสพูดคุยกับท่านทูตประเทศต่าง ๆ อย่างท่านอับดุล ลาตีฟ โมฮัมเหม็ด ลาเฟีย เอกอัครราชทูตศรีลังกา ประจำประเทศไทย กล่าวถึงการจัดกิจกรรมครั้งนี้ไว้ว่า การจัดโครงการวัฒนธรรมสัญจรมายังนครศรีธรรมราช นับเป็นสิ่งที่ดีมากที่ทำให้ท่าน ทูตได้เห็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่และได้เห็นวัฒนธรรมของคนไทย ที่สำคัญจะยังได้เห็นพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นพุทธสถานสำคัญแห่งหนึ่งที่เชื่อมโยงกับศรีลังกา และเป็นที่ศรัทธาของชาวพุทธ ขณะที่ นายชิเกคาซึ ซาโตะ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่น ประจำประเทศไทย กล่าวว่า การจัดกิจกรรมครั้งนี้ ทำให้ทูตได้มาเห็นความงดงามของประเทศไทย โดยเฉพาะป่าเขา น้ำตก ที่มีภูมิประเทศคล้ายคลึงกับประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งยังได้มาเห็นวิถีชีวิต และความสำคัญของจังหวัดนครศรีธรรมราช ในการเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาในสมัยโบราณด้วย ด้าน นายอดิศักดิ์ เบ็ญจศิริวรรณ ผู้ช่วย รมว.วัฒนธรรม กล่าวว่า เป็นที่น่ายินดีที่คณะทูตานุทูตต่างพอใจกับการจัดงานของกระทรวงวัฒนธรรม ทั้งยังชื่นชมในการจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกันก็ได้รับกระแสตอบรับจากหลายประเทศว่าจะช่วยประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวของประเทศไทยให้ประชาชนในแต่ละประเทศเข้ามาเที่ยวให้มากขึ้น อย่างไรก็ตามเราต้องมองไปข้างหน้าในการประสานงานกับทางสถานทูตต่าง ๆ เพื่อให้มีส่วนช่วยผลักดันประเทศไทยในการดำเนินงานในด้านอื่น ๆ ต่อไป แม้ว่าการจัดกิจกรรมจะจบไปแล้ว แต่เชื่อว่า การพัฒนาพระบรมธาตุนครศรีธรรมราชให้ก้าวขึ้นสู่แหล่งมรดกโลก ยังคงเดินหน้าต่อไป ซึ่งต้องอาศัยการร่วมแรงร่วมใจของชาวนครศรีธรรมราช ในการแสดงพลังความคิดเห็น เพื่อให้เกิดการพัฒนาเมืองที่ยั่งยืน และคงเอกลักษณ์เมืองศูนย์กลางพระพุทธศาสนาแห่งเมืองนครศรีธรรมราชนี้เอาไว้ และอยากให้คนไทยได้ไปเยือนนครตามพรลิงค์สัมผัสกลิ่นอายแห่งพระพุทธศาสนายังสถานที่แห่งนี้สักครั้ง. มนตรี ประทุม
ขอขอบคุณแหล่งที่มา :
คุณไม่สามารถมองเห็น links ได้ กรุณา.สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบพาทูตเที่ยวเมืองตามพรลิงค์ ยลพระบรมธาตุสู่มรดกโลก
