สนับสนุนเว็บ

ผู้เขียน หัวข้อ: เที่ยวนครศรีธรรมราช เยือนถิ่นลิกอร์ ชมนครหัตถศิลป์  (อ่าน 82 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ นๅยด้ามขวาน

  • ออฟไลน์
  • 49115
    30336
    64972



  • Administrator
  • *****
  • สมัครสมาชิกเมื่อ 17/07/2009
    YearsYearsYearsYearsYearsYearsYearsYearsYearsYearsYearsYearsYearsYearsYears
  • กระทู้ : 49115
  • Like Post : 64972
  • Peny : 30336
  • 16

    • ดูรายละเอียด


  • เข้าใช้งานล่าสุดเมื่อ 14/พ.ย./22


                   

บนถนนหัตถกรรมท่าช้างในเมืองนครศรีธรรมราช หรือ “เมืองลิกอร์” ชื่อที่พ่อค้าชาวโปรตุเกส ชาวยุโรปชาติแรกที่เข้ามาติดต่อค้าขายกับไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ซึ่งตรงกับสมัยรัชกาลของสมเด็จพระรามาธิบดีที่สองหรือเมื่อ พ.ศ.2061 ใช้เรียกเมืองตามพรลิงค์ ชื่อเดิมของนครศรีธรรมราช และถูกบันทึกไว้ในจดหมายเหตุบันทึกเรื่องราวในประวัติศาสตร์ วันนี้แม้ว่าจะไม่มีใครเรียกที่นี่ว่าเมืองลิกอร์หรือตามพรลิงค์ ทว่างานหัตถศิลป์ชั้นเยี่ยมมากมายที่บ่งบอกถึงความเจริญรุ่งเรืองของเมืองนครยังคงได้รับการสืบทอดและสืบสาน

เที่ยวนครศรีธรรมราช เยือนถิ่นลิกอร์ ชมนครหัตถศิลป์

เส้นสายเล็กๆ สีน้ำตาลเข้มที่นำมาถักทอเป็นงานหัตถศิลป์ชั้นเยี่ยมนั้น ไม่เพียงบ่งบอกถึงฝีมืออันประณีตวิจิตรบรรจงและความอุตสาหะของช่างผู้ถักทอ หากแต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของการสืบสานภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ

ย่านลิเภา เป็นพืชตระกูลเฟิร์น หรือเถาวัลย์ตามภาษาภาคกลาง ที่มีคุณสมบัติเด่นของลำต้นที่เหนียว ชาวบ้านจึงนำมาทำเครื่องจักรสานเพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น กระเชอ เชี่ยนหมาก กล่องใส่ยาเส้น พาน ปั้นชา ขันดอกไม้ธูปเทียน กรงนก กระเป๋าถือ เป็นต้น โดยมีแหล่งผลิตสำคัญอยู่ที่บ้านหมน ตำบลท่าเรือ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช

ข้าวของเครื่องใช้พื้นบ้านที่มีเอกลักษณ์เหล่านั้น อาจเป็นเพียงสินค้าพื้นเมืองทั่วไป หากไม่มีเจ้านายจากหัวเมืองใต้นำขึ้นมาถวายในราชสำนัก และเผยแพร่ในหมู่เจ้านายมาตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ จนกระทั่งในปี พ.ศ.2513 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชดำริ ให้สอนการสานย่านลิเภาในโครงการศิลปาชีพ มีการพัฒนารูปแบบได้อย่างสวยงามประณีต เป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางทั้งระดับท้องถิ่น ภูมิภาค และทั่วประเทศ ด้วยคุณสมบัติเฉพาะตัวของย่านลิเภา ที่เหนียวและทนทานมีอายุใช้งานมากเป็นร้อยๆ ปี

นอกจากย่านลิเภาแล้ว ผ้ายกเมืองนคร ถือเป็นอีกภูมิปัญญาล้ำค่าของนครศรีธรรมราช ผ้าสำหรับเจ้าเมืองขุนนางชั้นสูงและพระบรมวงศานุวงศ์ โดยในสมัยก่อนเป็นของที่พระมหากษัตริย์พระราชทานให้กับบุคคลสำคัญเจ้านายและข้าราชบริพารชั้นสูงใช้สวมใส่เวลาเข้าเฝ้า เป็นการแสดงสถานะของบุคคล ต่อมามีการดัดแปลงเป็นผ้าสำหรับคหบดีเจ้านายลูกหลานเจ้าเมือง และสามัญชนทั่วไปใช้นุ่งสำหรับงานพิธีสำคัญต่างๆ

ปัจจุบันผ้า ยกเมืองนคร เป็นงานหัตถศิลป์ที่ได้รับการอนุรักษ์และสนับสนุนจากหลายหน่วยงาน อาทิ “บ้านมะม่วงปลายแขน” โรงทอผ้าแห่งแรกของเมืองนครได้มีการทำสืบต่อกันมาจากบรรพบุรุษเป็นเวลากว่า 20 ปี ผ้าที่ทอเป็นลายสมัยโบราณได้มีการหยิบยืมผ้าสมัยโบราณจากวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารเพื่อศึกษาลายและดำเนินการทอตามลายสมัยโบราณ ส่วน “หมู่บ้านเนินธัมมัง” อำเภอเชียรใหญ่ ศูนย์ศิลปาชีพบ้านเนินธัมมังแห่งนี้เกิดจากน้ำพระทัยของ สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถพระราชทานราชทรัพย์ส่วนพระองค์ เพื่อก่อตั้งศูนย์ศิลปาชีพเมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินมาเยี่ยมราษฎร เมื่อปี 2536

ขณะที่ เครื่องถมนคร โอท็อปชั้นสูง เป็นที่ทราบกันดีว่าหากจะสรรหาเครื่องถมชั้นยอดที่ขึ้นชื่อมาช้านานจะต้องเป็นเครื่องถมจากฝีมือชาวนครศรีธรรมราช เพราะเป็นงานฝีมือชั้นสูงที่ได้รับการสืบทอดจากบรรพบุรุษ โดยในปัจจุบันชาวนครฯ ก็ยังทำกันอยู่แต่หากจะหาช่างที่สามารถทำเครื่องถมได้ครบทุกขั้นตอนคงจะมีไม่ถึง 10 รายในประเทศไทย หนึ่งในนั้นคือ คุณตาพยงค์ จันทรังษี วัย 80 ปี ที่ขณะนี้ได้ปลดระวางการทำเครื่องถมเมืองนครไปนานแล้ว แต่ก็ยังได้ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้กับลูกหลานมาจนถึงปัจจุบัน

นอกจากเครื่องใช้ไม้สอยที่มาจากภูมิปัญญาแล้ว หนังตะลุงที่เป็นอีกหนึ่งภูมิปัญญาของชาวใต้นั้น เมืองนครก็เป็นแห่งแรกที่มีการจัดตั้ง พิพิธภัณฑ์หนังตะลุงของเมืองไทยขึ้น ที่บ้านนายหนังสุชาติ ทรัพย์สิน นายหนังที่เป็นทั้งผู้แกะสลักลวดลายให้กับตัวหนัง และเป็นผู้ปลุกวิญญาณให้หนังตะลุงเหล่านั้นโลดแล่นอยู่บนผืนผ้าสร้างความสนุกสนานให้กับผู้ชม จึงไม่น่าแปลกใจที่พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านแห่งนี้ที่เพียบพร้อมไปด้วยองค์ประกอบต่าง ๆ ของหนังตะลุง จะได้รับรางวัลยอดเยี่ยมอุตสาหกรรมท่องเที่ยว (ไทยแลนด์ทัวริสซึ่มอวอร์ด) ประจำปี 2539 รางวัลดีเด่นประเภทวัฒนธรรมและโบราณสถาน

ไม่เพียงแต่งานหัตถศิลป์ชั้นเลิศเท่านั้น ที่เป็นสิ่งบ่งบอกถึงความรุ่งเรืองของอดีตอาณาจักรตามพรลิงค์ แคว้นที่เก่าแก่ที่สุดแคว้นหนึ่งบนแหลมมาลายุ ด้วยประวัติศาสตร์ที่ยาวนานกว่า 1,800 ปี และมีการติดต่อสัมพันธ์กับลังกาโดยรับเอาพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทลัทธิลังกาวงศ์เข้ามา จนทำให้ที่นี่กลายเป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนา งานด้านพุทธศิลป์จึงเป็นอีกสิ่งสำคัญที่อยู่คู่เมืองนคร โดยมีพระบรมธาตุเจดีย์ แห่งวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารเป็นศาสนสถานที่ยิ่งใหญ่และเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญ ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกเพิ่งให้การรับรองเข้าสู่บัญชีเบื้องต้นเพื่อพิจารณาประกาศขึ้นทะเบียนมรดกโลกเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2556 “เกิดมาหนึ่งชาติขอได้กราบพระบรมธาตุเมืองนคร” จึงกลายเป็นกิจกรรมสำคัญที่ขาดไม่ได้

ต่อด้วยการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ของสะสม ณ บ้านท่านขุนรัฐวุฒิวิจารณ์ บ้านเรือนไทยใต้ถุนสูงทรงปั้นหยาอายุมากกว่า 108 ปีที่ได้รับรางวัลอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรมดีเด่นปี 2556จากสมาคมสถาปนิกสยาม ซึ่งอยู่ตรงข้ามวัดพระมหาธาตุ สักการะพระพุทธสิหิงค์บริเวณศาลากลางจังหวัด พระพุทธรูปสำคัญคู่บ้านคู่เมืองนครศรีธรรมราช ตามตำนานกล่าวว่าพระมหากษัตริย์ลังกาโปรดให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 700 และมาอยู่ประเทศไทยในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช

ก่อนปิดท้ายด้วยการเรียนรู้วิถีวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของพระพุทธศาสนาการค้าขายกับต่างชาติแสดงประวัติบุคคลสำคัญของเมืองนครศรีธรรมราชอาณาจักรตามพรลิงค์ และเมืองลิกอร์ ที่ พิพิธภัณฑ์เมือง ตั้งอยู่ที่สวนสาธารณะสมเด็จพระศรีนครินทร์ 84 (ทุ่งท่าลาด) พิพิธภัณฑ์แบบมัลติมีเดีย สื่อผสมผสานที่ทันสมัยที่ได้รับรางวัลกินรีเมื่อปี 2551 ที่ถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ อย่างทันสมัยน่าติดตาม

ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก การท่องเที่ยวจังหวัดนครศรีธรรมราช


 View Larger Map

                                     
                                        
                                     

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : คุณไม่สามารถมองเห็น links ได้ กรุณา.สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ
เที่ยวนครศรีธรรมราช เยือนถิ่นลิกอร์ ชมนครหัตถศิลป์

LikePost โดย 0 สมาชิก :


 

Sitemap 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28 29 30 31 32 33 34 35 36 37 38 39 40 41 42 43 44 45 46 47 48 49 50 51 52 53 54 
ร่วมขับเคลื่อนโดย