สนับสนุนเว็บ

ผู้เขียน หัวข้อ: 'เจตนา' คือ กรรม  (อ่าน 1880 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

Permalink: 'เจตนา' คือ กรรม

04/พ.ค./10 หัวข้อไอดี: 3748 | ลิ้งค์หัวข้อ: /topic/3748

ออฟไลน์ น้องน้ำหอม

  • ออฟไลน์
  • 28225
    0
    65535



  • Mentor
  • ***
  • สมัครสมาชิกเมื่อ 17/07/2009
    YearsYearsYearsYearsYearsYearsYearsYearsYearsYearsYearsYearsYearsYearsYears
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้ : 28225
  • Like Post : 65535
  • Peny : 0
  • 14

    • ดูรายละเอียด
    • ด้ามขวาน ดอทคอม

  • คนด้ามขวาน

  • เข้าใช้งานล่าสุดเมื่อ 28/ส.ค./12


 

ภาพประกอบจาก คุณไม่สามารถมองเห็น links ได้ กรุณา.สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ

 เจต นาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ
เรากล่าวเจตนาว่าคือกรรม

เจตนา คือ ความตั้งใจ ความมุ่งใจหมายจะทำ
เจตน์จำนง ความจำนง ความจงใจ

ใน การกระทำก็ตาม ความคิดหรือคำพูดของคนเราก็ตาม ทั้งหลายทั้งปวงนี้ จะประกอบอยู่ด้วยเจตนาคือความตั้งใจ
อย่างใดอย่างหนึ่งเสมอ หากปราศจากเจตนาที่จะคิดแล้ว ความคิดก็มีไม่ได้ เกิดขึ้นไม่ได้ หากปราศจากเจตนาที่จะพูด
คำพูดก็มีไม่ได้ เกิดไม่ได้ หากปราศจากเจตนาที่จะกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดแล้ว การกระทำนั้นๆ ก็เกิดขึ้นมาไม่ได้

ครูบาอาจารย์เล่าว่า ทุกครั้งที่มีกรณีที่จะต้องสรุปหาทางออกของเรื่องราวใดๆ อาทิเรื่องข้อพระวินัยต่างๆ เมื่อเกิดเรื่องราว
ใดๆ ขึ้นมา พระพุทธองค์จะทรงตรัสถามตัวเจ้าของกรณีว่า "เธอมีเจตนาอย่างไร" ในการกระทำนั้นๆ

ทรงถามเช่นนี้ ก็เพราะว่า เจตนานี้เองคือตัวกรรมกล่าวคือ ถ้าเจตนาบริสุทธิ์ ก็ไม่นำให้เกิดเป็นกรรมไม่ดี
และหากเจตนาไม่บริสุทธิ์ ก็ย่อมนำให้เกิดเป็นกรรมไม่ดีซึ่งย่อมจะส่งผลในภายหน้าไม่เร็วก็ช้า ถ้าเจตนาเป็นกุศลยิ่ง
ก็เป็นกรรมที่ดียิ่ง ย่อมจะให้ผลเป็นความสุขต่อๆ ไป

ยกตัวอย่างเช่น ปัดมดตาย คนหนึ่งปัดเพราะเห็นแล้วรำคาญว่ามาขึ้นอาหารทำไม ตายเสียเถอะ!  แล้วก็ปัดพรวดเดียวตายสมใจ
กับอีกคนมองไม่เห็นมด ปัดมือกวาดๆ ไปโดนมดตายโดยไม่เห็นและไม่ได้ตั้งใจ

คนแรกนั้นมีเจตนาชัดเจนว่า อยากให้เค้า (มด) ตาย คนหลังนั้น ตอนนั้นใจแค่คิดจะปัดมือออกไปเพราะเมื่อย
เจตนา แค่อยากเปลี่ยนอิริยาบถให้หายเมื่อเท่านั้นไม่มีเจตนาหรือจุดมุ่งหมายใดๆ เกี่ยวกับมดตัวนั้นเลย

อันนี้เอง ที่สมมุติหากมีกรณีเกิดขึ้นเช่นนี้ และคนทั้งสองในตัวอย่างถูกกล่าวหาว่าบาปเพราะฆ่ามดตาย พระพุทธองค์ก็คงจะทรง
ถาม ทำนองว่า "ขณะที่ปัดมือนั้น เธอคิดอย่างไร เธอตั้งใจอย่างไร"อะไรทำนองนี้ ซึ่งความหมายก็คือ หากขณะปัด มีเจตนาอยาก
ปัดไปโดนมดให้เค้าตาย ก็เป็นเจตนาที่เป็นบาป เป็นอกุศลเป็นกรรมไม่ดี ที่จะส่งผลให้ต้องได้รับทุกข์โทษภัยต่อไปได้
แต่ถ้าหากเจตนาคือจะปัดมือ เฉยๆ เพราะเมื่อย เป็นต้น แล้วไปโดนมดตายเอง อันนี้ นับได้ว่าไม่ได้มีเจตนาใดๆ ที่เป็นบาป
เป็นอกุศล ไม่ได้คิดจะฆ่าเขา ไม่ได้คิดจะทำให้เขา (มด) ต้องเดือดร้อนเป็นทุกข์ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งไป

แม้ แต่เรื่องของวาจาก็เช่นกัน ใจต้องคิดก่อน อยากก่อน แล้วคำพูดต่างๆ จึงจะสามารถหลุดออกมาจากปากได้
ในศีลข้อ ๔ พระพุทธองค์จึงทรงแจงไว้โดยละเอียดเกี่ยวกับเรื่องของการประพฤติผิดทางวาจา ไว้ถึง ๔ อย่างคือ
การกล่าวมุสา การพูดยุยงส่อเสียด การพูดคำหยาบและการพูดเพ้อเจ้อโปรยประโยชน์ ทั้งหมด ๔ อย่างนี้
(มุสาวาท ปิสุณาวาจา ผรุสวาจา สัมผัปปลาปะ) ล้วนเริ่มมาจากจิตคิดจะทำ มีเจตนาจะปล่อยให้ความคิดนั้นล่วงออกมาทางคำพูด

ผู้มุ่งเพียรเพ่ง ฝึกสติ ทำความเพียรระลึกรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่เนืองๆในกาย วาจา ใจ นั้น ยิ่งสติเฉียบคมยิ่งขึ้นเท่าไหร่ การระลึกรู้
ถึงเจตนาที่ยังคงอยู่ใน ระดับความคิดก็ตาม เจตนาที่อยากจะปล่อยให้ล่วงออกมาเป็นคำพูดหรือปล่อยล่วงออกมาเป็น
การ กระทำต่างๆ ทางกายก็ตาม ก็จะฉับไวขึ้น คือ เมื่อจะคิดเป็นกุศลหรืออกุศล ก็รู้ได้เร็ว มีสติรู้ทันอาการของความคิด
ต่างๆ นั้น หากความคิดนั้นเป็นกุศล ก็อาจจะคิดต่อ และหากความคิดนั้นเป็นอกุศล เมื่อสติไประลึกรู้ได้ทัน สัมปชัญญะและ
ปัญญาก็จะเกิด รู้ตัวว่ากำลังมีเจตนาอันเป็นบาป เป็นโทษเมื่อรู้ด้วยปัญญาเช่นนี้ ก็จะทำให้ความคิดอกุศลหรือความคิด
อันเป็นบาปนั้น หยุดอยู่เพียงเท่านั้น ไม่เลยเถิดล่วงออกมาทางวาจาหรือทางกายได้

แต่หากสติรู้ไม่ทันขณะ ยังเป็นเพียงความคิดหรือเจตนาตรงความคิดจนเกิดปล่อยล่วงออกมาทางคำพูดหรือ การกระทำแล้วก็ตาม
และสติมาระลึกรู้ได้ทันโดยรวดเร็วว่ากำลังพูดไม่ดี หรือกำลังใช้กายกระทำสิ่งที่ไม่ดี เมื่อสติเกิดทันเมื่อไหร่ รู้ตัวเมื่อไหร่
ปัญญาก็จะเกิด เตือนตนว่ากำลังพูดไม่ดีหรือกำลังทำไม่ดีก็จะสามารถหยุดคำพูดหรือการกระทำ ไม่ดีนั้นๆ ไว้แค่นั้น
ไม่ปล่อยให้พูดหรือกระทำไม่ดียิ่งกว่านั้นต่อๆ ไป ให้เป็นบาปเป็นอกุศลสะสมเข้าไปใหญ่ ได้

ดังนั้น ด้วยสติหรือด้วยการฝึกสติปัฏฐานสี่ ฝึกรู้ตัวทั่วพร้อมให้บ่อยๆ เนืองๆ เป็นนิจสิน อยู่ในทุกขณะชีวิตประจำวันนี้เอง
ก็จะช่วยให้บาปทางกายก็ตาม บาปทางวาจาก็ตาม และที่สำคัญที่สุดบาปทางใจ ก็จะไม่สามารถเกิดได้หรือเกิดได้
น้อยลงและน้อยลงไปตามระดับกำลังของสติ นั่นทีเดียว

ในแง่ปฏิบัตินั้น ทุกครั้ง ทุกขณะ ที่สติเกิดนั้น อกุศลหรือบาปหรือกรรมไม่ดี คือ ความโลภ ความโกรธ และ ความหลง ก็เกิดไม่ได้
เพราะ เป็นสิ่งตรงกันข้ามกัน คือ สติและปัญญา อันเป็นกุศลนั้นเป็นสิ่งตรงข้ามกับความโลภ ความโกรธและความหลงความ
ไม่ รู้ตามความเป็นจริง ดังนั้น เมื่อมีสติอยู่ขณะใด ในขณะนั้นๆ เจตนาใดๆ ที่ไม่ดี ความคิด คำพูดหรือการกระทำ
ใดๆ ที่ไม่ดี ก็จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ หรือเกิดขึ้นได้ก็เพียงแว่บเดียว ชั่วขณะเดียวหรือชั่วขณะสั้นๆ แล้วก็จะระงับไปเมื่อสติเข้ามารู้เท่าทัน

เรียก ว่า รู้ตัวได้เร็ว รู้ตัวได้ทันเมื่อไหร่ ก็ไม่ต้องสร้างกรรมไม่ดีที่เป็นบาป เป็นอกุศล ที่จะส่งผลเป็นความทุกข์ต่อไปในอนาคตแก่ตนเอง ได้มากขึ้นเท่านั้น

นอก ไปจากนี้ เมื่อเจตนานี่เองคือกรรม เราก็มีวิธีที่จะสามารถสร้างแต่กรรมดี ทำเจตนาที่ดีๆ ให้เกิดให้มากๆ บ่อยๆ เนืองๆ
ด้วยการพยายามฝึกตนให้ทำ พูด คิด แต่ในเรื่องดีๆ สิ่งดีๆ ที่สวยงาม บริสุทธิ์ เป็นกุศล และหลีกเลี่ยงการกระทำ การพูด หรือการคิดใดๆ
ที่ไม่ดี ที่เป็นบาป เป็นอกุศล ก็จะช่วยได้อีกทางหนึ่ง

ส่วนวิธีที่ดีที่สุดที่จะสามารถ ช่วยให้ลด-ละ-เลิกและในที่สุดคือจะช่วยตัดกิเลสตัดอกุศลให้ขาดสะบั้นลงได้ ก็คือ การเจริญสติ
การฝึกสติ การมีชีวิตอยู่กับสติปัฏฐานให้บ่อยๆ เนือง เป็นกิจวัตร เป็นนิจสิน ดำรงตนให้มีสติอยู่เป็นนิจในทุกๆ ขณะที่ตื่นอยู่ นั่นเอง

เจริญในธรรม

  เครดิต จากคุณ : deedi

 อ้าง อิงจาก คุณไม่สามารถมองเห็น links ได้ กรุณา.สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ

LikePost โดย 0 สมาชิก :


 

Sitemap 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28 29 30 31 32 33 34 35 36 37 38 39 40 41 42 43 44 45 46 47 48 49 50 51 52 53 54 
ร่วมขับเคลื่อนโดย